AWS Edge Location มาไทยแล้ว ดียังไง? มาพิสูจน์กัน :)

Pam Parichat
2 min readDec 8, 2020
The picture shows location of AWS Edge Locations

Amazon Web Service (AWS) ได้เปิดตัว Edge location แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรบ้านเรา อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวดีในรอบปีนี้เลยทีเดียว แต่มันจะเป็นข่าวดีจริงไหม หรือมันจะช่วยระบบ IT ของเราได้ยังไง วันนี้เราจะมาคุยกัน!

ก่อนอื่นเราขอเล่าง่ายก่อนว่า Edge Location คืออะไร (ส่วนใครที่ทราบแล้วสามารถข้ามส่วนนี้ไปได้เลยจ้า) ลองนึกภาพว่าเว็บไซต์ของเรา Host บน Server ที่วากันด้า เวลาคนเข้าใช้งานเว็บไซต์ ก็ต้องวิ่งผ่าน internet ไปที่วากันด้า ซึ่งคนที่อยู่วากันด้า ก็ใกล้หน่อย เข้าได้เร็วหน่อย ส่วนคนที่อยู่ห่างไกลหน่อยใช้เวลานานกว่า เข้าก็ช้ากว่า โหลตหน้าเว็บ, รูป, หรือ VDO ก็ช้ากว่า ทีนี้จะดีกว่าไหม ถ้าเรา Copy ข้อมูลเว็บไซต์ของเรามาเก็บไว้ชั่วคราว (Cache) สักที่นึงที่ใกล้ๆกับผู้ใช้งาน เพื่อจะทำให้ ผู้ใช้งานเข้าหน้าเว็บไซต์ของเราได้เร็วขึ้น user experience ดีขึ้น ไม่ต้องวิ่งไปกลับเมกาทุกๆ request “สักที่นึง” ที่เอาไว้เก็บ Cache ที่เราพูดถึงเมื่อกี้ ก็คือ Edge Location นี่เองจ้า…

แล้วทำยังไงถึงจะใช้งาน Edge Location ได้ล่ะ ต้องบอกก่อนว่า Edge Location เป็น infrastructure ส่วนหนึ่งที่ใช้ Support CDN Service (Amazon CloudFront) ดังนั้นถ้าเราอยากใช้ Edge Location เราก็ต้องใช้บริการ CloudFront นั่นเอง อุ๊ย! ง่ายจัง :)

Amazon CloudFront ดียังไง?

อย่างที่ได้เล่าไปข้างต้น ข้อดีหลักๆ ก็คือ User Experience ของเว็บไซต์ของเราดีขึ้น เพราะเราเก็บส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ไว้ใกล้ Users นอกจากนี้เรายังสามารถใช้งาน CloudFront ร่วมกับ Service Security อื่นๆได้อีกด้วย เช่น WAF และยังมี DDoS Protection (AWS Shield Standard) แถมมาให้อีกด้วย CloudFront Features ยังมีอีกหลายอย่างมากมาย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก link ด้านล่างนี้จ้า

https://aws.amazon.com/cloudfront/features/?nc1=h_ls

AWS Edge Location มาไทยแล้ว ดีจริงปะ?

เกริ่นกันมามากแล้ว มาสู่เนื้อหาหลักของบทความนี้กันเลยดีกว่า วันนี้เราจะมาเทียบกันให้เห็นชัดๆเลยว่า Edge Location ที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรเนี่ย มีประโยชน์กี่มากน้อย

วิธีการที่เราจะเปรียบเทียบสำหรับบทความนี้ก็คือ เราจะสร้างเว็บไซต์ง่ายๆ โดยใช้ S3 ที่ Region Singapore, Enable Static Website Hosting แล้วมาลองเข้าเว็บไซต์ไปที่ S3 ตรงๆ เทียบกับ เข้าใช้งานผ่าน CloudFront

The figure shows diagram of test scenarios

มาลองเทียบเว็บไซต์ HTML ง่ายๆ ~400kB

เราลองทดสอบ load หน้า html ง่ายๆ ทั้งหมด 20 ครั้ง (S3 10, CloudFront 10) แล้วมาหาค่าเฉลี่ยของเวลาที่ใช้ load หน้าเว็บ ใช้งาน CloudFront มันก็ต่างแหละ แต่ก็ไม่ค่อยมาแฮะ แค่ ~30%

คราวนี้ลองไฟล์รูปภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ~2MB

นี่สิของจริง! พอไฟล์ใหญ่ขึ้นก็เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนหน่อย ซัดไปเลย ~500%

Thanks to Francois Le Nguyen for the photo on Unsplash

จากผลการทดลองข้างต้น จริงๆมันก็มีปัจจัยรอบข้างที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น network ที่ใช้ทดสอบ (เราใช้ wifi free ที่ร้านกาแฟแถวบ้าน) เป็นต้น

แต่โดยรวมแล้ว Edge Locations ที่เข้ามาตั้งในไทยแลนด์แดนสมายด์ มันก็เจ๋ง และให้ผลลัพธ์ดีอย่างชัดเจน สำหรับคนที่ใช้ Amazon CloudFront อะแหละ ใครยังไม่ได้ใช้ ก็ลองไปเล่นดู ได้ผลยังไงก็มาแชร์กันได้จ้า

--

--